
ข้อบกพร่องในการทำวิจัย
ข้อบกพร่องในการทำวิจัยเป็นประเด็นสำคัญที่นักวิจัยควรให้ความสนใจ เพราะความผิดพลาดในแต่ละขั้นตอนอาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของผลการศึกษาได้โดยตรง หนึ่งในข้อบกพร่องที่พบบ่อย คือ การตั้งชื่อเรื่องและการเขียนความเป็นมาไม่ชัดเจน ซึ่งมักเกิดจากการขาดการวิเคราะห์ปัญหาอย่างลึกซึ้ง ทำให้หัวข้อไม่สะท้อนสาระสำคัญของสิ่งที่ต้องการศึกษา ส่งผลให้ทิศทางของการวิจัยไม่ชัดเจน และอาจทำให้วัตถุประสงค์หรือสมมติฐานของการวิจัยไม่สอดคล้องกับประเด็นหลักของการศึกษา
อีกข้อบกพร่องหนึ่งคือ การกำหนดกรอบแนวคิดและทบทวนเอกสารที่เกี่ยวข้องอย่างไม่เพียงพอ นักวิจัยบางคนอาจละเลยการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หรือผลงานวิจัยที่มีอยู่ก่อนหน้า ซึ่งเป็นฐานสำคัญในการสร้างกรอบแนวคิดที่ถูกต้องและเหมาะสม เมื่อขาดส่วนนี้ งานวิจัยจะขาดทิศทางทางทฤษฎี และยากต่อการวิเคราะห์หรืออภิปรายผลในภายหลัง ส่งผลให้คุณค่าทางวิชาการลดลง
ในส่วนของ การออกแบบการวิจัยและการพัฒนาเครื่องมือ หากดำเนินการอย่างไม่รัดกุม เช่น การเลือกกลุ่มตัวอย่างไม่เหมาะสม การสร้างแบบสอบถามที่ขาดความเที่ยงตรงหรือความเชื่อมั่น จะทำให้ข้อมูลที่เก็บได้ไม่สะท้อนความจริงของประชากรที่ศึกษาอย่างแท้จริง ปัญหานี้จะส่งผลต่อความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของผลการวิจัย ทำให้ไม่สามารถนำผลไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และข้อบกพร่องในขั้นตอนการเก็บข้อมูลและการวิเคราะห์ผล ซึ่งอาจเกิดจากการไม่ควบคุมตัวแปรให้เหมาะสม การป้อนข้อมูลผิดพลาด หรือการเลือกใช้สถิติที่ไม่สอดคล้องกับลักษณะของข้อมูล การวิเคราะห์เช่นนี้จะทำให้ผลการวิจัยคลาดเคลื่อน และข้อสรุปที่ได้อาจไม่สะท้อนความเป็นจริง ดังนั้น นักวิจัยควรให้ความสำคัญกับทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวางแผน การเก็บข้อมูล ไปจนถึงการตีความผล เพื่อให้ได้ผลงานวิจัยที่มีคุณภาพและเชื่อถือได้อย่างแท้จริง โดยบทความนี้จะอธิบายปัญหาและข้อบกพร่องในการทำงานวิจัย ดังนี้
1. ชื่อเรื่องการวิจัยไม่ชัดเจน
ชื่อเรื่องงานวิจัยถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดของกระบวนการวิจัย เพราะเป็นสิ่งที่กำหนดทิศทาง วัตถุประสงค์ และขอบเขตของการศึกษาอย่างชัดเจน หากชื่อเรื่องไม่เหมาะสม เช่น กว้างเกินไป แคบเกินไป หรือไม่สอดคล้องกับปัญหาการวิจัย จะส่งผลให้ผู้วิจัยไม่สามารถกำหนดแนวทางการดำเนินงานได้อย่างถูกต้อง ทำให้ขั้นตอนต่อ ๆ ไป เช่น การตั้งสมมติฐาน การกำหนดตัวแปร การออกแบบเครื่องมือ หรือการเก็บข้อมูล เกิดความสับสนและไม่เป็นระบบ นอกจากนี้ การที่ชื่อเรื่องไม่ชัดเจนยังสร้างภาระทางจิตใจให้กับผู้วิจัย เพราะต้องคอยปรับแก้ให้ตรงกับแนวทางที่อาจารย์ที่ปรึกษาหรือคณะกรรมการแนะนำ ซึ่งอาจทำให้เสียเวลาและเกิดความเครียดในการทำวิจัยได้ ดังนั้น การตั้งชื่อเรื่องให้ถูกต้อง ชัดเจน และสอดคล้องกับปัญหาการวิจัย จึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยลดความผิดพลาดและทำให้งานวิจัยดำเนินไปอย่างราบรื่นและมีคุณภาพ
ตัวอย่างชื่อเรื่องงานวิจัยที่ผ่านมาแล้ว
2. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาการวิจัยไม่ชัดเจน
หลักการเขียนความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาการวิจัยข้อบกพร่องที่พบบ่อยส่วนใหญ่ จะอธิบายภาพรวมทั่วไปของหัวเรื่องงานวิจัยที่กำลังจะทำ แต่ขาดเหตุผลเพื่อนำมาเขียนสนับสนุน ขยายความชื่อเรื่องงานวิจัยให้ชัดเจน ส่วนใหญ่คณะกรรมการจะคำถามว่า เพราะเหตุใด ทำไมจึงทำวิจัยเรื่องนี้ ?
ตัวอย่างเช่น ศึกษาการใช้บริการโรงแรมระดับ 3 ดาวของนักท่องเที่ยวชาวจีนในเมือง P จังหวัด PP ผู้วิจัยจำเป็นต้องอธิบายให้ได้ว่า ทำไมถึงทำวิจัยในสถานที่เมือง P จังหวัด PP เกี่ยวข้องอะไรกับโรงแรมระดับ 3 ดาว และมีผลต่อนักท่องเที่ยวชาวจีนอย่างไร แต่ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาการวิจัยไม่ได้กล่าว ไม่มีข้อมูลมาสนับสนุนที่ชัดเจน ไม่ได้อธิบายเลยว่า... มีสาเหตุอะไร ทำไมจึงศึกษาการใช้บริการโรงแรมระดับ 3 ดาวของนักท่องเที่ยวชาวจีนในเมือง P จังหวัด PP
3. วัตถุประสงค์กับสมมติฐานไม่สอดคล้องกัน
วัตถุประสงค์การวิจัยและสมมติฐานการวิจัยเป็นองค์ประกอบสำคัญที่เชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดในการดำเนินงานวิจัย โดย วัตถุประสงค์การวิจัย ทำหน้าที่เป็น เข็มทิศ ที่ชี้ให้เห็นว่าผู้วิจัยต้องการศึกษาหรือค้นหาคำตอบเรื่องใดอย่างเฉพาะเจาะจง และต้องสามารถวัดผลได้จริง เช่น ต้องการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรสองตัว หรือเปรียบเทียบความแตกต่างของกลุ่มตัวอย่าง ส่วน สมมติฐานการวิจัย เป็น คำคาดการณ์ล่วงหน้า ที่ตั้งขึ้นตามหลักเหตุผลและทฤษฎี เพื่อรอการพิสูจน์จากการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลในภายหลัง เช่น คาดว่าปัจจัยหนึ่งมีอิทธิพลต่ออีกปัจจัยหนึ่ง
การเขียนวัตถุประสงค์และสมมติฐานจึงต้องสอดคล้องและไปในทิศทางเดียวกัน เพราะหากทั้งสองส่วนไม่สัมพันธ์กัน ผลการวิจัยอาจขาดความชัดเจนและไม่สามารถตอบคำถามการวิจัยได้ ตัวอย่างเช่น หากวัตถุประสงค์ต้องการ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจในการทำงานกับประสิทธิภาพการทำงาน สมมติฐานก็ควรสอดคล้อง เช่น แรงจูงใจในการทำงานมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับประสิทธิภาพการทำงาน การเขียนเช่นนี้จะช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลมีทิศทางและตอบโจทย์ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
ดังนั้น หลักการเขียนที่ดีคือ วัตถุประสงค์ควรระบุให้ชัดว่า ต้องการศึกษาหรือเปรียบเทียบอะไร ส่วนสมมติฐานควรแสดง ผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ของตัวแปร ทั้งสองส่วนต้องใช้ภาษาที่ชัดเจน สอดคล้องกันทางตรรกะ และสามารถตรวจสอบได้ด้วยข้อมูลจริง เพื่อให้การวิจัยมีความถูกต้อง น่าเชื่อถือ และสามารถนำผลไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม
4. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับไม่ถูกต้อง
ผู้วิจัยส่วนใหญ่มักจะนำเอาวัตถุประสงค์การวิจัยมาเขียนอธิบายประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ถือได้ว่าเขียนไม่ถูกต้อง เพราะ หลักการเขียนประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ควรจะเขียนว่า ผลการวิจัยที่ได้สามารถนำไปพัฒนาให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร หรือเพื่อปรับปรุงพัฒนาที่เป็นประโยชน์อย่างไรมากกว่า เช่น ผลที่ได้จากการศึกษาในครั้งนี้สามารถนำไปพัฒนาคุณภาพการให้บริการโรงแรมระดับ 3 ดาวที่เป็นประโยชน์ต่อนักท่องเที่ยวชาวจีนให้ดีขึ้น และตอบสนองต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวทั่วไปได้มากยิ่งขึ้น
5. กรอบแนวคิดการวิจัยไม่ชัดเจน
การไม่ชัดเจนของกรอบแนวคิดการวิจัย เนื่องจาก ผู้วิจัยค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องไม่มีมากพอ ส่วนใหญ่จะนำเอางานวิจัยของคนอื่นมาใช้โดยไม่ได้ศึกษาเรื่องนั้นดีพอ จึงทำให้กรอบแนวคิดและตัวแปรที่ศึกษาไม่ชัดเจน หรือสลับตัวแปร ตัวอย่างเช่น นำเอาตัวแปรต้นไปไว้เป็นตัวแปรตาม และนำเอาตัวแปรตามไปไว้เป็นตัวแปรต้น
6. การทบทวนเอกสารและงานวิจัยไม่ดีพอ
สาเหตุเกิดจากผู้วิจัยศึกษาเอกสารน้อย ค้นคว้าหาอ่านงานวิจัยที่เกี่ยวข้องน้อยเกินไป ไม่เพียงพอที่จะทำวิจัยในหัวเรื่องดังกล่าวที่กำหนดเอาไว้ ทำให้กำหนดตัวแปรที่ศึกษาผิดพลาด จึงส่งผลต่อการสร้างเครื่องมือเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัย และที่สำคัญผู้วิจัยคัดลอกแบบสอบถามมาจากของท่านอื่นโดยขาดการทบทวนตัวแปรต้น และตัวแปรตาม
7. ขนาดประชากรและตัวอย่างไม่ถูกต้อง
ตามระเบียบวิธีการวิจัย การกำหนดขนาดประชากรและตัวอย่าง เช่น กำหนดขนาดโดยใช้เปอร์เซ็นของจำนวนประชากร กำหนดโดยใช้สูตรคำนวณจากจำนวนประชากรจำนวนจริง หรือกำหนดประชากรที่ศึกษาจากกรณีไม่ทราบจำนวน หรือสามารถกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างด้วยการเปิดตารางสำเร็จรูปก็ย่อมทำได้ โดยขนาดตัวอย่างที่ได้ต้องเป็นตัวแทนที่ดีของประชากรสำหรับเก็บรวบรวมข้อมูล ไม่มีการลำเอียง ไม่มีอคติในการเลือกตัวอย่าง และจากตัวอย่างนี้เป็นการคำนวณขนาดประชากร ผู้พัฒนาสูตรโดย Cochran (1977)

8. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยขาดคุณภาพ
การนำเครื่องมือการวิจัยของท่านอื่นมาใช้ โดยขาดการพิจารณาตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ไม่ได้คำนึงถึงทฤษฎีและเนื้อหาของเรื่องที่ทำวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นสิ่งที่มีความสำคัญและมีบทบาทอย่างมากในการวิจัย การเลือกใช้เครื่องมือใดนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์และลักษณะพฤติกรรมที่ต้องการจะประเมินผล ที่สำคัญจะต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัย และต้องมีการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือก่อนนำมาใช้ด้วยเช่นกัน
9. การเก็บข้อมูลไม่ถูกต้อง
ถ้าเก็บข้อมูลจากบุคคลที่เป็นตัวแทนที่ดีของประชากรสำหรับเก็บรวบรวมข้อมูล อาจจะใช้วิธีการเก็บไม่เหมาะสม ช่วงเวลาการเก็บข้อมูลไม่เหมาะสม เก็บข้อมูลได้ไม่ครบถ้วน ขาดความสมบูรณ์ หรือมีความลำเอียงในการเก็บข้อมูล ตัวอย่างเช่น ผู้วิจัยทำการแจกแบบสอบถามช่วงเวลาพักเที่ยง 12.00 น. ในทางตรงกันข้าม ท่านคิดให้ดีๆ " ใครจะมาเสียเวลาตอบแบบสอบถามให้ท่าน.... "
10. การวิเคราะห์ข้อมูลไม่ถูกต้อง
การวิเคราะห์ข้อมูลงานวิจัย ผู้วิจัยอาจกำหนดใช้สถิติในการวิเคราะห์ไม่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น ศึกษาการใช้บริการโรงแรมระดับ 3 ดาวของนักท่องเที่ยวชาวจีนในเมือง P จังหวัด PP โดยกำหนดวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหาความสัมพันธ์ในการใช้บริการโรงแรมระดับ 3 ดาวของนักท่องเที่ยวชาวจีนในเมือง P จังหวัด PP แต่ผู้วิจัยกำหนดการวิเคราะห์ข้อมูลจะทดสอบความแตกต่างของประชากรสองกลุ่มที่มีความเป็นอิสระต่อกันโดยใช้ t-test ถือว่าไม่ถูกต้องตามหลักการทางสถิติ
11. การนำเสนอข้อมูลหรือผลการวิจัยไม่เหมาะสม
ผลการวิจัยที่ต้องการนำเสนอ อาจนำเสนอด้วยตารางข้อมูล กราฟ แผนภูมิในการนำเสนอที่ขาดความเหมาะสมควรนำเสนอผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ อธิบายข้อค้นพบจากสมมติฐานการวิจัยที่กำหนดเอาไว้ แต่ผู้วิจัยนำเสนอไม่ครอบคลุมตามวัตถุประสงค์ ไม่ครอบคลุมตามสมมติฐานการวิจัยที่กำหนดเอาไว้
12. การอภิปรายผลการวิจัยไม่ชัดเจน
การอภิปรายผลการวิจัย สำคัญที่สุด คือ เนื้อหาบทที่ 2 และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องต้องแน่น ครบถ้วนมากที่สุด จากประสบการณ์ทำงานวิจัย เป็นที่ปรึกษาในการทำงานวิจัย วิทยานิพนธ์ ปริญญาโท - เอกได้พบข้อบกพร่องที่เป็นปัญหาในการทำงานวิจัยเกี่ยวกับการอภิปรายผลการวิจัย มากที่สุด โดยไม่นำเนื้อหาในบทที่ 2 ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมาใช้ในการอภิปรายให้เป็นเหตุเป็นผล เพื่อนำมาเขียนสนับสนุนข้อค้นพบที่ได้รับให้ชัดเจน
13. การเขียนข้อเสนอแนะการวิจัยไม่ชัดเจน
การเขียนข้อเสนอแนะการวิจัย เป็นลักษณะข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ในรูปแบบการปฎิบัติ และเชิงวิชาการ ผู้วิจัยเสนอแนะในสิ่งที่ตนเองเห็นว่าดีคิดเขียนออกมาโดยไม่เกี่ยวข้องกับผลการวิจัยที่ได้ โดยขาดการเสนอแนะจากข้อค้นพบผลการวิจัยที่วิเคราะห์ข้อมูลแล้ว
14. การเขียนเอกสารอ้างอิงไม่ถูกต้อง
การให้เกียรติ การให้เครดิต ผู้คิดค้นทฤษฎี เจ้าของงานวิจัย เจ้าของเครื่องมืองานวิจัย ผู้คิดค้นสูตรคำนวนประชากร การเขียนอ้างอิงแทรกในเนื้อหาและเขียนบรรณานุกรมไม่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น ไม่อ้างอิงแทรกผู้คิดค้นทฤษฎี เจ้าของงานวิจัยในเนื้อหาที่ได้นำหรือคัดลอกของคนอื่นมาใช้ เขียนบรรณานุกรมไม่ครบ ควรเขียนระบุแหล่งที่มาของข้อมูลที่ผู้วิจัยอ้างอิงมาให้ถูกต้อง ตามหลักวิชาการ
15. การเขียนรายงานไม่ถูกต้อง
การวิจัยเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ การเขียนรายงานไม่ถูกต้องตามแบบฟอร์มที่หน่วยงานกำหนดไว้ ไม่ถูกต้องตามหลักการเขียนรายงานการวิจัย ผู้วิจัยเขียนรายงานใช้ภาษาพูดมากกว่าภาษาวิชาการ ใช้คำฟุ่มเฟือย เยิ่นเย้อ หรือไม่กระชับมากเกินไป ประโยคฟุ่มเฟือยเป็นลักษณะประโยคที่ใช้คําเกินความจําเป็น หรือ ซํ้า ความ จึงสามารถตัดทิ้งได้โดยไม่เสียความ
สรุปได้ว่า จากที่กล่าวมานี้ เป็นปัญหาในการทำวิจัยและข้อบกพร่องที่พบ จะช่วยให้ผู้วิจัยมือใหม่ได้ตระหนักรู้ถึงปัญหาและข้อบกพร่องในการทำวิจัย จะได้หาแนวทางแก้ไขก่อนที่จะเกิดปัญหา เพื่อให้งานวิจัยที่ทำมีคุณภาพ สามารถเผยแพร่ผลงานวิจัยได้อย่างภาคภูมิใจ
ผู้วิจัยมือใหม่ที่ขาดทักษะ ไม่มีความรู้ในการทำวิจัย จึงควรศึกษาระเบียบวิธีวิจัยให้ดีก่อนที่จะลงมือทำวิจัย เนื่องจากผู้วิจัยมือใหม่มีทักษะน้อย ทำให้งานวิจัยที่กำลังทำ ล้าช้ากว่ากำหนด ดังนั้น ควรปรึกษาผู้มีประสบการณ์ในขณะทำวิจัย จะช่วยให้การทำวิจัยสำเร็จตามเป้าหมาย เสร็จทันเวลา ท้ายที่สุด ปรึกษาผู้มีประสบการณ์ทำงานวิจัยส่งผลให้เข้าใจการทำงานวิจัยมากขึ้น
ที่มาภาพ : https://qualtrics.com










