ความแตกต่างของการวิจัยเชิงปริมาณกับการวิจัยเชิงคุณภาพ

ความแตกต่างของการวิจัยเชิงปริมาณกับการวิจัยเชิงคุณภาพ

การทำวิจัย เป็นกระบวนการแสวงหาความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องในสิ่งที่ต้องการจะศึกษา มีการเก็บรวบรวมข้อมูล การจัดระเบียบข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลงานวิจัย หรือ การการตีความหมายจากการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้ได้มาคำตอบที่ถูกต้อง และเป็นกระบวนการที่แสวงหาความรู้ที่ดำเนินไปอย่างเป็นระบบแบบแผน และกฏเกณฑ์ในการเก็บรวบรวมข้อมูล จัดกระทำกับข้อมูล เพื่อนำไปวิเคราะห์ข้อมูล แปรผลข้อมูลที่รวบรวมมาได้ สรุปผลงานวิจัย ซึ่งจะทำให้ได้รับคำตอบของปัญหา หรือสร้างความรู้ใหม่ๆ ที่เชื่อถือได้และสามารถตรวจสอบได้ (ศิริรัตน์ วีรธาตยานุกูล, 2545) การวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพแตกต่างกันในด้านแนวทางและลักษณะข้อมูลที่ใช้ โดยการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) เน้นการเก็บข้อมูลที่เป็นตัวเลข วิธีการเก็บข้อมูล สามารถวัดผลได้ชัดเจน และนำมาวิเคราะห์ทางสถิติด้วยโปรแกรม SPSS , STATA , LISREL , AMOS , Mplus เพื่อหาความสัมพันธ์ เพื่อเปรียบเทียบตัวแปร หาแนวโน้ม หรือการทดสอบสมมติฐาน ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่กว้างและสามารถสรุปทั่วไปได้ ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จะมุ่งทำความเข้าใจปรากฏการณ์หรือพฤติกรรมเชิงลึก ผ่านข้อมูลที่ไม่เป็นตัวเลข เช่น การสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม หรือการสังเกต ทำให้เข้าใจมุมมอง ประสบการณ์ และความหมายที่ซ่อนอยู่ ซึ่งช่วยอธิบายสิ่งที่ตัวเลขไม่สามารถสะท้อนได้อย่างละเอียดครบถ้วน บทความนี้จะนำเสนอความแตกต่างของการวิจัยเชิงปริมาณกับการวิจัยเชิงคุณภาพ ข้อดีของการวิจัยทั้งสองประเภท เพื่อช่วยให้ผู้สนใจตัดสินใจเลือกวิธีในการทำงานวิจัยที่เหมาะสม

การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research)

การวิจัยเชิงปริมาณเป็นการวิจัยที่มุ่งเน้นการเก็บข้อมูลในรูปแบบตัวเลขที่สามารถวัดและเปรียบเทียบได้อย่างเป็นระบบ โดยใช้เครื่องมือมาตรฐาน เช่น แบบสอบถามหรือแบบทดสอบ เพื่อให้ได้ข้อมูลจำนวนมากที่สามารถนำมาวิเคราะห์ทางสถิติ ช่วยให้ผลการวิจัยมีความน่าเชื่อถือ สามารถตรวจสอบซ้ำได้ และนำไปสรุปอ้างอิงทั่วไปในวงกว้างได้อย่างชัดเจน

ลักษณะเด่นของการวิจัยเชิงปริมาณ
- ใช้ข้อมูลที่เป็นตัวเลขและสามารถวัดได้อย่างชัดเจน
- มีการออกแบบการวิจัยและใช้เครื่องมือที่มีมาตรฐาน
- สามารถวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ เพื่อทดสอบสมมติฐานหรือหาความสัมพันธ์ของตัวแปร
- มีความเป็นระบบ สามารถตรวจสอบและทำซ้ำได้

ข้อดีของการวิจัยเชิงปริมาณ
- ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน วัดและเปรียบเทียบได้อย่างเป็นรูปธรรม
- สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากและสรุปผลในเชิงกว้างได้
- มีความน่าเชื่อถือสูง เนื่องจากใช้เครื่องมือและการวิเคราะห์ที่เป็นมาตรฐาน
- สามารถใช้ทดสอบสมมติฐานและตรวจสอบทฤษฎีได้อย่างเป็นระบบ

ข้อเสียของการวิจัยเชิงปริมาณ
ขาดความลึกซึ้ง  เน้นตัวเลขและสถิติ จึงไม่สามารถสะท้อนความรู้สึก มุมมอง หรือประสบการณ์ที่ซ่อนอยู่ได้
ข้อจำกัดของเครื่องมือ  คุณภาพของข้อมูลขึ้นอยู่กับความถูกต้องของแบบสอบถามหรือแบบทดสอบ หากออกแบบไม่ดี ข้อมูลจะไม่แม่นยำ
อาจไม่สะท้อนบริบทจริง  การวัดผลด้วยตัวเลขเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถอธิบายปัจจัยเชิงคุณภาพที่ส่งผลต่อพฤติกรรมได้ครบถ้วน
ความยืดหยุ่นต่ำ  มีโครงสร้างตายตัว ไม่สามารถปรับเปลี่ยนระหว่างการเก็บข้อมูลได้มากนัก
ใช้สมมติฐานเป็นหลัก  ถ้าสมมติฐานที่ตั้งไว้ไม่เหมาะสม การวิเคราะห์อาจไม่สะท้อนความจริง
ค่าใช้จ่ายและทรัพยากรสูง  บางครั้งต้องเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวนมาก ทำให้สิ้นเปลืองเวลา งบประมาณ และแรงงาน

การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research)

การวิจัยเชิงคุณภาพเป็นการวิจัยที่มุ่งทำความเข้าใจปรากฏการณ์ พฤติกรรม ความคิด หรือประสบการณ์ของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง โดยเก็บข้อมูลที่ไม่เป็นตัวเลข เช่น คำพูด ข้อความ ภาพ หรือการสังเกต ผ่านวิธีการอย่างการสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม หรือการสังเกตแบบมีส่วนร่วม เน้นการตีความและอธิบายความหมายในบริบทเฉพาะ เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังตัวเลข

ลักษณะเด่นของการวิจัยเชิงคุณภาพ
- มุ่งเน้นความเข้าใจเชิงลึก ไม่ใช่การวัดเชิงปริมาณ
- ใช้ข้อมูลที่ไม่เป็นตัวเลข เช่น คำพูด ข้อความ และพฤติกรรม
- ให้ความสำคัญกับบริบทและสถานการณ์จริงของผู้ให้ข้อมูล
- เก็บข้อมูลแบบยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนวิธีการได้ตามสถานการณ์
- ใช้การตีความเพื่ออธิบายความหมายและมุมมองของผู้ให้ข้อมูล

ข้อดีของการวิจัยเชิงคุณภาพ
- ทำให้เข้าใจปรากฏการณ์ในเชิงลึกและรอบด้าน
- สามารถอธิบายความรู้สึก ประสบการณ์ และมุมมองที่ซับซ้อนได้
- ให้ความยืดหยุ่นในการเก็บข้อมูล ปรับได้ตามสถานการณ์จริง
- เหมาะสำหรับการค้นหาความหมาย แนวคิดใหม่ หรือทฤษฎีที่ยังไม่มีการศึกษา
- สามารถนำมาใช้เสริมและอธิบายผลที่ได้จากการวิจัยเชิงปริมาณได้

ข้อเสียของการวิจัยเชิงคุณภาพ
ขาดความเป็นสากล (Generalization)  ผลการวิจัยมักสะท้อนเฉพาะกลุ่มหรือบริบทหนึ่ง ไม่สามารถสรุปอ้างอิงทั่วไปได้กว้างเหมือนเชิงปริมาณ
ขึ้นอยู่กับการตีความของผู้วิจัย  ผลลัพธ์อาจมีความลำเอียง (bias) ได้ง่าย หากผู้วิจัยขาดความเป็นกลางหรือประสบการณ์
ใช้เวลานาน  การเก็บข้อมูลเชิงลึก เช่น สัมภาษณ์หรือสังเกต ต้องใช้เวลามากและละเอียดกว่าการใช้แบบสอบถาม
วิเคราะห์ข้อมูลซับซ้อน  การถอดความ วิเคราะห์ และตีความข้อมูลจำนวนมาก เช่น บทสัมภาษณ์ ต้องใช้ทักษะสูงและอาจใช้เวลานาน
ยากต่อการทำซ้ำ (Replication)  การวิจัยในบริบทเฉพาะบางครั้งไม่สามารถทำซ้ำได้เหมือนเดิม ทำให้ยืนยันผลได้ยาก
ต้องการทักษะและประสบการณ์สูง  ผู้วิจัยต้องมีความเชี่ยวชาญในการสัมภาษณ์ การสังเกต และการตีความ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีคุณภาพ

การวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพต่างก็มีข้อดีและจุดแข็งที่ตอบโจทย์การศึกษาในลักษณะที่แตกต่างกัน โดยการวิจัยเชิงปริมาณเหมาะกับการวัด การเปรียบเทียบ และการทดสอบสมมติฐานที่ชัดเจน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพเหมาะสำหรับการทำความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยตัวเลข ทั้งสองประเภทจึงมีบทบาทเสริมกันในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ทำให้งานวิจัยมีความครบถ้วนและมีความหมายมากขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการศึกษาที่นักวิจัยเลือกใช้เป็นหลัก